เนื้อหาแบบสุ่ม

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

บอกลาโคเลสเตอรอล ด้วยอาหาร



ไม่ ว่าใครก็ตามที่กำลังมีปัญหา "โคเลสเตอรอล" สูงฟังทางนี้เลย เพราะเราสามารถลดระดับ "โคเลสเตอรอล" ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดแดงอุดตัน และโรคหัวใจขาดเลือด ได้ง่ายแสนง่าย เพียงแค่เลือกทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายเท่านั้น เอ้า...อยากรู้ว่า ควรจะทานอะไร อย่างไรดี จึงจะช่วยป้องกันและลดระดับ "โคเลสเตอรอล" ในเลือดได้ วันนี้เรามีข้อมูลดี ๆ มากระซิบบอกกัน


1. ทาน "โคเลสเตอรอล" ไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม

ไข่แดงเอย เครื่องในเอย ไขมันสัตว์เอย ล้วนเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วย "โคเล สเตอรอล" แน่นอนว่า อาหารเหล่านี้เป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน จะให้ห้ามทานเลยอาจดูใจร้ายไปเสียหน่อย แต่หากหลีกเลี่ยงได้ หรือทานในปริมาณที่น้อยเข้าไว้ ไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม จะดีที่สุด หรือหากใครชอบทานไข่มาก ก็แนะนำให้ทานเฉพาะไข่ขาว เพราะไข่ขาวไม่มีโคเลสเตอรอล ที่จะทำให้ระดับ "โคเลสเตอรอล" สูงขึ้น

2.หลีก เลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง

ไม่ว่าจะเป็น กะทิ ไขมันจากสัตว์ เนื้อสัตว์ติดมัน หรือไขมันทรานส์ ที่มีมากในเนยขาว เนยเทียม ครีมเทียม อาหารฟาสต์ฟู้ด คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบ อาหารเหล่านี้มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงทั้งนั้น หากรับประทานเข้าไปมาก ๆ จะทำให้ระดับ "โค เลสเตอรอล" สูงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย และเมื่อระดับ "โคเลสเตอรอล" สูงขึ้นเมื่อไร โรคหัวใจมาเคาะประตูถามหาถึงหน้าบ้านแน่นอน

3.ทาน อาหารจำพวกเส้นใย หรือไฟเบอร์ให้มาก ๆ

รู้ไหมว่าอาหารที่มีเส้นใย หรือไฟเบอร์มาก ๆ อย่าง ข้าวโอ๊ต ถั่ว แอปเปิ้ล ลูกพรุน มะเขือเทศ กระเจี๊ยบ ฯลฯ เส้นใยในอาหารเหล่านี้ จะไปช่วยดูดซับโคเลสเตอรอลที่ปนอยู่ในน้ำดีในลำไส้ ทำให้สามารถผลักดัน "โคเลสเตอรอล" ออกไปจากร่างกายพร้อมกับอุจจาระได้โดยง่าย

4.ทาน ปลาทะเล

โอเมกา-3 จากปลาทะเล ถือเป็นสุดยอดอาหารช่วยลดไขมัน ไตรกลีเซอไรด์ในเส้นเลือด แถมยังลดโอกาสในการเกิดภาวะเลือดจับตัวกันเป็นลิ่ม หรือที่เรียกว่าอุดตันในเส้นเลือดได้อีก คุณสมบัติเหล่านี้จึงช่วยป้องกันโรคหัวใจได้อย่างดี รู้อย่างนี้แล้วก็อย่ามองข้ามปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ฯลฯ ไปเสียล่ะ

5. ทานอาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงโดยสม่ำเสมอ

อย่าเพิ่งขมวดคิ้วทำหน้าสงสัยว่า การทานอาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงแล้ว จะช่วยลด "โคเลสเตอรอล" ได้อย่างไร เชื่อเถอะว่า หลายคนยังไม่ทราบว่า อาหารที่มีกรดไขมัน ไม่อิ่มตัวสูงนี่แหละ อุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นอย่างกรดไลโนเลอิค และกรดอัลฟาไลโนเลอิค ซึ่งจะช่วยให้ "โค เลสเตอรอล" มีการเผาผลาญที่ตับมากขึ้น จึงช่วยลดปริมาณ "โคเลสเตอรอลชนิดไม่ดี" หรือ LDL ได้ อย่างดีเยี่ยม ที่สำคัญยังช่วยเพิ่ม "โค เลสเตอรอลชนิดดี" หรือ HDL ไปพร้อม ๆ กันด้วย


ว่า แล้วก็รีบไปหา อาหารที่มี "กรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง" อย่างเช่น น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันข้าวโพด และน้ำมันทานตะวัน มาทานกันจะดีกว่า เพราะหาซื้อง่าย และราคาไม่แพง จะได้ไม่ต้องจ๊ะเอ๋กับโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดอุดตันยังไงล่ะ!!!

ที่มาจาก kapook.com

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

6-7-8 สูตรลับน้ำหนักลด



678 I LOVE YOU สูตรลับน้ำหนักลด (Mix Magazine)

ออกกำลังกายตอนไหนดีที่สุด? ออกกำลังกายแล้วทำไมน้ำหนักไม่เห็นลงเลย? อยากผอมวิธีไหนดีที่สุด? ระหว่างวันกินอะไรดีที่ไม่ทำให้น้ำหนักขึ้น?

หลายคนถามคำถามเหล่านี้กับตัวเองเสมอ ๆ บ้างก็ไปหาวิธีมาจนได้ผล บ้างก็ทำครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ได้ผลสักที MiX ฉบับนี้จะมาหาทางออกให้คุณผู้อ่านกัน ด้วยสูตรนี้ที่เรียกว่า 6-7-8 ซึ่งเป็นสูตรที่ น.พ.บัญชา แดงเนียม คิดขึ้นมา และ น.พ.คณิน ไตรพิพิธสิริวัฒน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านธรรมชาติบำบัด หนึ่งในผู้ดำเนินรายการ Morning Love ทาง FM99 ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ หกโมงถึงเจ็ดโมงเช้า มาแนะนำต่อครับ

6 ตัวแรกก็หมายถึงตัวเลข 6 นาฬิกานั่นล่ะครับ แต่เป็น 6 โมงเช้านะครับไม่ใช่ 6 โมงเย็น ใครที่เคยได้ยินความเชื่อเรื่องที่ว่าตื่นเช้าแล้วจะสุขภาพดีนั้น เป็นเรื่องจริงครับ แต่ถ้านอนดึกตื่นเช้าก็คงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องสักเท่าไร ต้องนอนเร็ว ตื่นเร็วถึงจะดี

ทุกเช้าที่เราตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เราควรทำเลยก็คือ ออกกำลังกายครับ ด้วยวิธีใดก็ได้เช่น เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน เดินในน้ำ ว่ายน้ำ โดยให้ต่อเนื่องกันสักอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงขึ้นไป แต่ต้องเหนื่อยนะครับ โดยต้องเป็นไปตามนิยามที่ว่าให้หัวใจเต้นเร็วอย่างน้อย 70% ของ Maximum Heart Rate

วิธีคำนวณง่าย ๆ ก็คือ นำตัวเลข 220 ตั้งแล้วลบด้วยอายุ สมมติอายุ 30 ปี ก็จะเป็น 220-30 เท่ากับ 190 ก็นำไปคูณกับ 70% ซึ่งเท่ากับ 133 ครั้ง ก็เท่ากับว่าตัวเลขนี้คืออัตราเต้นของหัวใจที่เราจะต้องไปให้ถึงในระหว่างออกกำลังกาย ถ้าไม่ถึงก็เท่ากับว่าไม่ได้ผล แต่ถ้ามากเกินไปก็จะอันตราย เพราะถ้าหากหัวใจเต้นเข้าใกล้หรือเกิน Maximum Heart Rate โอกาสที่จะเกิดอาการหัวใจวายก็เป็นไปได้ครับ

หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าขณะที่เราออกกำลังกายอยู่นั้น หัวใจเราเต้นที่ครั้งต่อนาที นอกจากการนับจังหวะหัวใจที่เต้นแต่ละครั้งแล้ว ปัจจุบันก็มีเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะออกกำลังกายอยู่ด้วย ทำให้สะดวกสบายในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจมากครับ หรือถ้าจะใช้แบบภูมิปัญญาชาวบ้านเลยก็ได้ครับ ใช้วิธีวัดระดับความเหนื่อย โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ระดับแรกคือไม่เหนื่อยเลย เดินทอดน่องสบาย ๆ อย่างนี้การออกกำลังกายไม่มีผลแน่นอนครับ ระดับที่สองคือเหนื่อยปานกลาง หรือหายใจหอบ อันนี้ถือว่าใช้ได้ และเหนื่อยระดับที่สามคือเหนื่อยจนพูดไม่ออก อันนี้อันตรายครับ เพราะอาจทำให้เกิดอาการช็อกได้


หลังจากที่ออกกำลังกายไปแล้วในช่วง 6 โมงเช้า ตัวเลขถัดมาก็คือเลข 7 เลขนี้มีความสำคัญไม่แพ้กันครับ เพราะคือช่วงเวลาที่ห้ามดื่ม ห้ามกินอะไรก็ตามที่มีแคลอรี่ อย่างน้อย ๆ หนึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง

ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ น้ำเปล่าดื่มได้ น้ำเกลือแร่ ของหวาน หรืออาหารที่มีพลังงานนั้นห้ามเด็ดขาด เหตุผลที่ห้ามเป็นเพราะว่าหลังจากที่เราออกกำลังกายเสร็จแล้ว ร่างกายจะเข้าสู่ช่วงเผาผลาญไขมัน เพราะช่วงที่เรานอนหลับนั้น ร่างกายเราก็เผาผลาญแป้ง และน้ำตาลไปก่อนหน้านั้นแล้ว ดังนั้นช่วงเช้าแป้งและน้ำตาลก็จะเหลือไม่มาก ร่างกายก็เข้าสู่กระบวนการเผาผลาญไขมัน

แต่เมื่อใดก็ตามที่เรากินหรือดื่มแป้งหรือน้ำตาลเข้าไปแม้แต่คำเดียวก็ตาม ร่างกายจะสลับจากการเผาผลาญไขมันเป็นการเผาผลาญแป้งและน้ำตาลแทน และช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่แป้งและน้ำตาลที่จะเผาผลาญไม่หลงเหลือในร่างกายแล้ว ทำให้ร่างกายเรียกร้องหาแป้งและน้ำตาลเพิ่ม เราก็ต้องบริโภคเพิ่มเข้าไป เรียกได้ว่ากลายเป็นกินเยอะ กินจุมากกว่าปกติ ซึ่งทำให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผล

และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่หลายคนออกกำลังกายแล้วไม่เห็นผล เพราะออกกำลังกายแล้วก็ไปกิน ถ้าจะให้ได้ผลดีที่สุดต้องหยุดพักสักหนึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ซึ่งก็พอดีกับออกกำลังกาย 6 โมง ช่วง 7 โมงก็พัก อาจจะไปอาบน้ำ แต่งตัว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการออกไปทำงานหรือทำธุระก็ได้ครับ

หลังจากนั้นพอถึงช่วง 8 โมงเช้า ก็กินอาหารเช้าให้เต็มที่ กินให้เสร็จก่อน 9 โมง เพราะถ้ากินหลัง 9 โมง ร่างกายจะเกิดอาการหิวบ้าเลือด ทำให้กินเยอะ และกินเก่งกว่าปกติ

มื้อเช้าแนะนำให้เป็นข้าวกล้องงอกสัก 1 ทัพพี ที่เหลือเป็นกับข้าว เน้นผักเยอะ ๆ กลางวันก็ข้าวกล้องงอกสักครึ่งทัพพี ที่เหลือก็เป็นกับข้าว เน้นผักเยอะ ๆ เช่นกัน ช่วงเย็นก็งดแป้ง น้ำตาล อาจจะกินเป็นผลไม้สักเล็กน้อย ระหว่างมื้อถ้าหิวก็กินผลไม้ หรือกินอาหารกลุ่มที่เป็นเนื้อสัตว์กับผัก การทำแบบนี้ทุกวัน โอกาสที่น้ำหนักจะลงถึงสัปดาห์ละ 1 กิโลกรัมอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นไปได้สูงครับ (ถ้าไม่ทำทุกวัน โอกาสที่จะทำให้น้ำหนักลดลงสัปดาห์ละ 1 กิโลกรัมก็ลดลง)

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องเป็น 6-7-8 เป็นช่วงเวลาอื่น ๆ ได้ไหม อย่างแรกเลยก็คือ อาหารเช้าเราต้องกินก่อนเก้าโมงเช้าอยู่แล้ว ถ้าจะเป็น 7-8-9 ก็อาจจะไม่ทัน หรือถ้าเปลี่ยนเป็นช่วงเวลาเย็น ๆ การออกกำลังกายในเวลาเย็นนั้น ผลที่ได้รับจะน้อยกว่าการออกกำลังกายในช่วงเช้า เพราะช่วงเวลาที่เรานอนหลับนั้น ร่างกายเราจะเผาผลาญแป้งและน้ำตาลที่กินเข้าไปอย่างที่บอกในข้างต้น

ดังนั้นพอออกกำลังกายตอนเช้า ร่างกายก็จะเผาผลาญไขมันให้ แต่ถ้าเราออกกำลังกายตอนเย็น ร่างกายก็จะต้องเผาผลาญอาหารมื้อเช้าและมื้อกลางวันให้หมดก่อน แล้วค่อยมาเผาผลาญไขมัน ดังนั้นถ้าเราอยากให้น้ำหนักลงและสุขภาพดี เราต้องบังคับให้ร่างกายเผาผลาญไขมันออกไป เช่นนั้นการใช้สูตร 6-7-8 จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของวัน

สำหรับผลข้างเคียงของการใช้วิธีการนี้ในการดูแลและควบคุมน้ำหนักนั้น มีอยู่อย่างเดียวครับ คือ คุณต้องเปลี่ยนไซส์ของเสื้อผ้าให้มีขนาดเล็กลงเพื่อรับกับร่างกายที่ผอมลงและแข็งแรงขึ้นครับ

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลดความอ้วน 42 วันเห็นผล รับประกันหุ่นเฟิร์ม



เฮ้อ ช่วงนี้หายใจไม่ค่อยจะทั่วท้องเลย ไม่ใช่เพราะเครียดหรือไปทำอะไรไม่ดีไว้หรอกนะคะ แต่เป็นเพราะรอบเอวที่เพิ่มขึ้นมาน่ะสิ แหม...ก็แค่ไปปาร์ตี้ปีใหม่กับเพื่อน ๆ ไม่กี่ครั้ง เผลอแป๊บเดียว ขยายใกล้จะถึงสามสิบแล้ว (ว้าก)

หากสาว ๆ คนไหน กำลังเสียจริตเหมือนอย่างข้างต้นนี้ อย่าเพิ่งวิตกกังวลไปค่ะ เพราะ WP มีวิธีกำจัดไขมันส่วนเกิน มาฝากกัน

Trick 1 : 7 วัน (แห่งการต่อสู้)

สัปดาห์แรกถือว่าเป็นสัปดาห์ที่หินมาก ๆ สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นลดน้ำหนัก เพราะคุณจะรู้สึกหิวอยู่ตลอดเวลา เห็นอะไรก็เผลอที่จะหยิบใส่ปากไม่ได้

WP Guide : วิธีที่ดี ที่สุดในการหยุดพฤติกรรมอันน่าเสี่ยงนี้ก็คือ ให้มุ่งความสนใจไปที่มื้อเช้า โดยพยายามกินมื้อเช้าให้เยอะเข้าไว้ เพราะนอกจากจะทำให้ท้องอิ่มได้นานแล้ว ยังช่วยให้แคลอรี่กับร่างกายไปใช้อีกตั้ง 350 แคลอรี่เชียวแน่ะ

Trick 2 : 14 วัน (แห่งการหงุดหงิด)

ระยะนี้คุณจะรู้สึกหงุดหงิดเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะขยับตัวไปทำอะไร ก็พานจะอารมณ์บ่จอยไปซะหมด ทั้งนี้เนื่องมาจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารของคุณ จากที่เคยกินอย่างพระราชา กลับกลายเป็นว่า ไอ้นั่นก็แตะไม่ได้ ไอ้นี่ก็แคลอรี่เยอะ จึงทำให้เกิดความเครียดและความกดดันตามมา จนคุณอาจรู้สึกหมดกำลังใจ ถึงขั้นหันหลังให้กับการไดเอ็ทไปตลอดชีวิตก็เป็นได้

WP Guide : วิธีที่จะ รับมือกับพายุอารมณ์ในช่วงนี้ก็คือ ให้เบี่ยงเบนความสนใจด้วยการหันหน้าเข้าหาเพื่อน ๆ พูดคุยปรึกษากันซะหน่อย ไม่แน่นะ คุณอาจจะปิ๊งไอเดียเจ๋ง ๆ ที่จะนำมาใช้ในการลดน้ำหนักต่อไปก็ได้

Trick 3 : 21 วัน (แห่งความอยาก)

ช่วงนี้คุณจะรู้สึกอยากกินอาหารมากขึ้น เพราะอยู่ในช่วงที่มีประจำเดือนพอดี เห็นอะไรก็อยากไปซะหมด

WP Guide : วิธีแก้ก็ คือ ลองเปลี่ยนจากกินอาหารวันละ 3 มื้อ (เช้า กลางวัน เย็น) ไปเป็นแบ่งกินเป็นมื้อย่อย ๆ ประมาณ 4-6 มื้อดูสิคะ วิธีนี้จะช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่ สามารถขจัดความเหนื่อยล้า และช่วยทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นด้วยค่ะ

Trick 4 : ครบ 42 วัน น้ำหนักยังไม่ลด

หลังจาก 6 สัปดาห์ผ่านไป คุณจะรู้สึกว่าร่างกายเฟิร์มมากขึ้น มีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น แต่ทำไม๊ ทำไม น้ำหนักยังไม่ลดลงซักที

WP Guide : WP ขอบอกว่าที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะปกติกล้ามเนื้อจะมีน้ำหนักมากกว่าไขมันอยู่แล้ว เพราะ 70% ของกล้ามเนื้อเป็นน้ำ ในขณะที่ไขมันมีน้ำแค่ 20% เท่านั้นเอง ฉะนั้น อย่าเพิ่งด่วนถอดใจไปซะก่อนค่ะ ให้คอนตินิวลดน้ำหนักอย่างนี้ต่อไปแหล่ะ และท่องเอาไว้ว่า ยิ่งมีกล้ามเนื้อมาก ก็ยิ่งเผาผลาญแคลอรี่ได้มาก แต่ถ้าคุณเกิดหมดแรงฮึดขึ้นมาจริง ๆ ให้นำยีนส์ตัวเก่งที่เคยใส่ไม่ได้แล้วมาลองสวมดูสิคะ หรืออาจจะส่องกระจกสำรวจดูตัวเองว่าไขมันตรงไหนลดไปบ้าง อาจจะช่วยเรียกกำลังใจกลับคืนมาได้นะ

เอ้า...ได้เคล็ดลับดี ๆ ไปแล้ว ก็อย่าลืมนำไปใช้กันนะคะ จะได้อวดหุ่นสวยให้ใคร ๆ ได้เห็นเร็ว ๆ ไงล่ะ

Diet Tips

สำหรับสาว ๆ ที่ตอนนี้กำลังหิวจนตาลายและเริ่มที่จะคว้าเค้กก้อนโตมากิน หยุดก่อนค่ะ คุณลองหันมากินผลไม้ข้างล่างนี้แก้หิวกันดูมั้ยคะ รับรองว่าเวิร์กกว่าเป็นไหน ๆ

แอปเปิ้ล

มีเพคตินช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดคอเลสเตอรอล ทานแอปเปิ้ล 1 ลูก จะช่วยลดความหิวได้ ถ้าทาน 2-3 ผลต่อวัน จะช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้

ถั่ว

ไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ที่พบมากในถั่ว จะช่วยเคลือบผิวกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว และอิ่มนานลดความอยากอาหารได้ดีเลยล่ะ

มะนาว

น้ำมะนาวคั้นสด ๆ 1 แก้ว ให้พลังงานเพียง 9 กิโลแคลอรี แถมยังมีวิตามินซีสูงมาก ช่วยป้องกันการเป็นหวัด ขับเสมหะ และแก้ไอได้ดีอีกด้วย

ส้ม

ควรรับประทานส้มโดยไม่คายกาก จะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว

ข้อมูลจาก womanplusonline.com

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

8 ความลับของสาวผอมเพรียว



เราทุกคนคงต่างก็มีเพื่อนรูปร่างผอมบางกัน อย่างน้อยก็คนหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่เคยอ้วนขึ้นเลยสักที นั่นเพราะผลจากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าคนที่มีรูปร่างผอมบางมักไม่ได้คิดถึง เรื่องอาหารแบบเดียวกับคนอื่นๆ พวกเธอจะผ่อนคลายกับการกิน ขณะที่คนซึ่งน้ำหนักเกินส่วนใหญ่มักจะหมกหนุ่มกับเรื่องการกินมากกว่า ลองมาแอบดูว่าคนผอมๆ ทำหรือไม่ทำอะไร แล้วคุณจะเลียนแบบพวกเธอได้ยังไงบ้าง

1. พวกเธอเลือกอาหารที่ทำให้พึงพอใจมากกว่าอิ่มจนแน่นท้อง

ใน อัตราส่วนความอิ่มจาก 1 ถึง 10 ผู้หญิงรูปร่างผอมจะหยุดกินเมื่อถึงระดับ 6 หรือ 7 ขณะที่คนส่วนมากมักกินต่อไปจนถึงระดับ 8 หรือ 10 มันอาจเพราะคุณสำคัญผิดระหว่างความอิ่มกับความพึงพอใจ หรือคุณอาจเคยชินกับการกินทุกอย่างตรงหน้าจนหมดเกลี้ยงไม่ว่าคุณจะต้องการ มันจริงๆ หรือไม่ก็ตาม

วิธีเลียนแบบ เพื่อกินแบบเดียวกับผู้มีรูปร่างผอม วางช้อนลง และประเมินความอิ่มจากอัตราส่วน 1 ถึง 10 ทำแบบเดียวกันอีกครั้ง เมื่อเหลือสักห้าคำ เป้าหมายก็คือเพิ่มความรู้ตัวถึงความพึงพอใจของตัวเองในระหว่างการกิน (มันยังทำให้คุณกินช้าลงซึ่งให้โอกาสความอิ่มส่งสัญญาณเข้ามา)

2 . พวกเธอรู้ว่าความหิวไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน

คน ส่วนใหญ่ที่ดิ้นรนกับเรื่องน้ำหนักตัวมักมองความหิวเป็นสิ่งที่ต้องจัดการ อย่างเร่งด่วน ดังนั้น ถ้าคุณกลัวความหิว คุณอาจกินมากเกินไปอยู่เสมอ แต่คนผอมๆ จะทนได้มากกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงมัน

วิธีเลียนแบบ เลือกวันที่ยุ่งๆ เพื่อชะลอเวลาอาหารกลางวันออกไปอย่างจงใจสักหนึ่งหรือสองชั่วโมง หรือลองพยายามงดของว่างมื้อบ่ายสักหนึ่งวัน คุณจะเห็นได้ว่าตัวเองก็ยังสบายดีอยู่ จากนั้น ครั้งต่อไปที่คุณได้ยินเสียงท้องร้อง คุณจะหยุดตัวเองไม่ให้ตรงดิ่งไปยังตู้เย็นในทันทีได้

3. พวกเธอไม่ใช้อาหารเพื่อเยียวยาอารมณ์เศร้า

ไม่ใช่ว่าผู้หญิงรูปร่างผอมบางมีภูมิด้านทานต่อการกินตามอารมณ์ แต่พวกเธอมักจะรู้ตัว เวลาที่ทำอย่างนั้นและหยุดมันได้

วิธี เลียนแบบ ถ้าคุณหิวจริงๆ กินของว่างที่มีประโยชน์ อย่างเช่นถั่วหนึ่งกำมือ เพื่อหยุดตัวเองเอาไว้ ก่อนรออาหารมื้อต่อไป แต่ถ้า คุณหงุดหงิด เหงา หรือเหนื่อย ลองหาทางออกที่ปราศจากแคลอรี่ เช่น ออกไปวิ่งหรือกระโดดโลดเต้นไปมารอบๆ อัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้ความโกรธหายไป เหงาก็โทรหาเพื่อน หรือไปเดินเล่นที่ศูนย์การค้าหรือถ้าเหนื่อยก็ไปนอนเสียดีกว่า

4. พวกเธอกินผลไม้มากกว่า

งาน วิจัยเมื่อปี 2006 ใน Journal of the American Dieletic Association ระบุว่า โดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงรูปร่างผอมบาง มักกินผลไม้มากกว่าหนึ่งครั้งในแต่ละวัน กินเส้นใยอาหารมากกว่าและกินไขมันน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนอ้วน

วิธี เลียนแบบ ลองเริ่มสำรวจการกินของคุณเพื่อหาทางเพิ่มผลไม้ (ไม่ใช่น้ำผลไม้นะ) เข้าไป ตั้งเป้ากินให้ได้สองหรือสามส่วนต่อวัน เช่น เพิ่มผลไม้ลงไปในอาหารแต่ละมื้อ หรือกินผลไม้เป็นของหวาน

5. พวกเธอสร้างความเคยชิน

การ กินอาหารหลากหลายเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าหลากหลายมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียได้ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการกินอาหารที่มีรสชาติแตกต่างกันมากเกินไปทำให้คุณ ยิ่งกินมากขึ้น คนผอมมักจะมีรูปแบบของการกินที่วางแผนมาแล้วอย่างดี มีของแปลกๆ เพิ่มเข้ามา 2-3 อย่าง แต่ส่วนใหญ่อาหารของพวกเธอจะคาดเดาได้

วิธี เลียนแบบ ลองกินอาหารหลักๆ ซ้ำกันในแต่ละมื้อ เช่น กินซีเรียลตอนเช้า กินสลัดตอนกลางวัน กินปลาตอนเย็น เป็นต้น มันโอ.เค. ที่จะเพิ่มทูน่าหรือไก่ย่าง เข้าไปกับสลัดผักในบางวัน แต่การกินกับอาหารหลักๆ ที่เดาได้ คุณจะจำกัดโอกาสที่จะกินมากเกินไปได้

6. พวกเธอรู้จักการควบคุมตัวเอง

งาน วิจัยที่มหาวิทยาลัย Tufts พบว่า ปัจจัยที่ทำนายได้ถึงการมีน้ำหนักขึ้นของผู้หญิงในวัย 50 และ 60 คือระดับของความยับยั้งชั่งใจ ผู้หญิงที่มีความยับยั้งชั่งใจสูงจะมีดัชนิมวลกายต่ำกว่า

วิธีเลียน แบบ เตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลาที่คุณมักจะขาดความยับยั้งชั่งใจอย่างมาก เช่น ท่ามกลางบรรยากาศการเฉลิมฉลองหรือเวลาอยู่กับเพื่อน ถ้าคุณชอบกินตอนงานเลี้ยง บอกตัวเองว่าคุณจะกินของว่างแค่หนึ่งชิ้นในรอบที่สี่ ซึ่งมันถูกส่งผ่านมา ถ้าคุณกินมื้อค่ำนอกบ้านลองสั่งอาหารมาแบ่งกันกับเพื่อน หรือถ้าคุณเครียด ก็ให้แน่ใจว่าคุณมีของว่างที่เคี้ยวได้ (อย่างเช่น ผลไม้หรือแครอตแท่ง) เอาไว้ใกล้มือ

7. พวกเธอชอบเคลื่อนไหว

โดย เฉลี่ยผู้หญิงรูปร่างผอมจะยืนมากกว่า 2 ชั่วโมงครึ่งในแต่ละวัน ที่สามารถช่วยเผาผลาญได้ 33 ปอนด์ต่อปี นี่เป็นผลจากการศึกษาของลินิกเมโย ในเมืองโรเชลเตอร์ สหรัฐฯ

วิธีเลียนแบบ การศึกษาแสดงให้เห็นว่าคนเรามักประเมินความแอ็คทีฟของตัวเองเกินจริง คนส่วนใหญ่มักใช้เวลา 16-20 ชม. ในแต่ละวันไปกับการนั่ง ใส่เครื่องนับก้าวเพื่อดูว่าคุณเข้าใกล้จำนวน 10,000 ก้าวแค่ไหน และในแต่ละวันคุณควรออกกำลัง 30 นาที รวมกับการเคลื่อนไหวอื่นๆ เช่น การเดินขึ้นบันได

8. พวกเธอนอนหลับสนิท

ผู้หญิง ที่ผอมบางมักนอนมากกว่า 2 ชม. ต่อสัปดาห์ เมื่อเทียบกับคนน้ำหนักเกิน งานวิจัยของโรงเรียนแพทย์อีสเทิร์นเวอร์จิเนียบอกเช่นนั้น นักวิจัยเชื่อว่าการนอนน้อยทำให้ระดับของฮอร์โมนที่ช่วยกดความอยากอาหาร (Lepfin) ต่ำลง และระดับของฮอร์โมนที่เพิ่มความอยากอาหาร (Ghrelin) สูงขึ้น

วิธี เลียนแบบ ลองชั่วโมงต่อสัปดาห์ก็คือประมาณ 17 นาที/ต่อวัน ซึ่งสามารถทำได้ง่ายกว่ามาก แม้คุณจะงานยุ่งเพียงใดก็ตาม เริ่มต้นตรงนั้นและค่อยๆ เพิ่มเวลานอนให้ได้วันละ 8 ชม. ในแต่ละคืน ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ใหญ่ส่วนมาก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก LISA

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

6 อาหารช่วยเผาผลาญไขมัน



กาแฟ
คาเฟอีนจะช่วยกระตุ้นเอ็นไซม์ ซึ่งมีหน้าที่เผาพลาญไขมัน ดังนั้นจึงควรจะดื่มกาแฟเป็นประจำ แต่ไม่ควรดื่มมาก แค่มื้อเช้าหนึ่งแก้ว หลังอาหารเที่ยงดื่มอีกหนึ่งแก้วก็พอแล้วค่ะ

ชาเขียว
มีการยืนยันว่าการดื่มชาเขียวเป็นประจำ ในปริมาณวันละ 4 แก้ว สามารถช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันได้ และดีต่อสุขภาพ

สาหร่าย และชาสาหร่าย
ออกฤทธิ์เช่นเดียวกับกรดแอสพาราจีน คือขับน้ำและของเสียออกจากร่างกาย ส่วนการเผาผลาญไขมันนั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าสามารถเผาผลาญได้จริงหรือไม่

ไวน์แดง
หากดื่มในปริมาณน้อย สารบางอย่างในไวน์แดงก็อาจจะช่วยขัดขวางการดูดซึมไขมันได้บ้าง แต่ก็ไม่ควร ดื่มมากเกินไป เพราะไวน์แค่ครึ่งแก้วสามารถให้พลังงานได้ถึง 72 แคลอรี

หน่อไม้ ฝรั่ง
กรดแอสพาราจีนในหน่อไม้ช่วยทำให้ผอมได้ แต่กรดเหล่านี้เพียงช่วยขับน้ำออกมาเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเผาพลาญไขมันแต่อย่างใด

พริก
ในพริกมีสารรสเผ็ดร้อนที่ชื่อแคปไซซิน ช่วยเพิ่มความร้อนในร่างกาย สามารถช่วยเผาผลาญไขมัน ฉะนั้นใครที่ชอบกินเผ็ด ก็เหยาะพริกป่นลงไปหน่อย หรือรับประทานพริกสดที่ซอยบาง ๆ ร่วมกับอาหารอื่น ๆ ด้วยก็ดีค่ะ

ขอขอบคุณที่มาจาก womanstoryonline.com

เนื้อหาแบบสุ่ม